OSCE Station: Bowel Obstruction Assessment and Management
หัวข้อการประเมิน / Assessment Topic | รายละเอียด / Details | เหตุผล / Rationale |
1. Patient Introduction & Communication / การแนะนำและการสื่อสารกับผู้ป่วย | - แนะนำตัวเองกับผู้ป่วยและอธิบายวัตถุประสงค์ของการตรวจ - ขอข้อมูลผู้ป่วย: ชื่อ, นามสกุล, อายุ - ขออนุญาตก่อนทำการตรวจ | การแนะนำตัวเองและขออนุญาตตรวจผู้ป่วยเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและการยอมรับจากผู้ป่วย ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจและพร้อมที่จะให้ข้อมูลและความร่วมมือในการตรวจและรักษา |
2. Chief Complaint & History of Present Illness (CC & HPI) / อาการสำคัญและประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน | Chief Complaint (CC): - สอบถามว่า "วันนี้มีปัญหาอะไรครับ/ค่ะ?" เพื่อทราบอาการที่ทำให้มาพบแพทย์ เช่น ปวดท้อง, ท้องอืด, ไม่ผายลม หรือไม่ถ่ายอุจจาระ | การสอบถามอาการสำคัญช่วยระบุสาเหตุและความรุนแรงของโรคได้ การถามประวัติอาการปวดท้องหรือท้องอืดที่เกี่ยวข้องกับ bowel obstruction เป็นสิ่งสำคัญเพื่อแยกแยะชนิดของการอุดตันและระดับความรุนแรงของโรค |
Onset and Duration / เริ่มมีอาการเมื่อไหร่และนานแค่ไหน: - ถามว่า "อาการเริ่มเมื่อไหร่ครับ/ค่ะ? เป็นมานานแค่ไหน?" เพื่อประเมินความรุนแรงและการดำเนินโรค | การทราบระยะเวลาของอาการช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคระหว่างการอุดตันเฉียบพลัน (acute obstruction) กับการอุดตันเรื้อรัง (chronic obstruction) ตัวอย่างเช่น การอุดตันที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันมักเกี่ยวข้องกับ volvulus หรือ incarcerated hernia ขณะที่การอุดตันที่เกิดขึ้นทีละน้อยอาจบ่งชี้ถึงมะเร็งหรือ stricture | |
Pain Characteristics / ลักษณะของอาการปวด: - ถามเกี่ยวกับลักษณะของอาการปวด (เจ็บแปลบ, ตื้อ, บิด) และตำแหน่งที่ปวด | ลักษณะของอาการปวดสามารถช่วยระบุตำแหน่งและชนิดของการอุดตัน เช่น อาการปวดแบบ colicky ที่มีลักษณะเป็นบิดเกร็งและมักเกี่ยวข้องกับ small bowel obstruction (SBO) ขณะที่อาการปวดท้องแบบคงที่ (constant pain) และรุนแรงอาจบ่งบอกถึง large bowel obstruction (LBO) ที่มีภาวะ strangulation หรือ ischemia | |
Vomiting / การอาเจียน: - ถามเกี่ยวกับการอาเจียน (จำนวนครั้ง, ลักษณะอาเจียนเช่น น้ำดี, อาหารไม่ย่อย, หรือเลือด) | การอาเจียนบ่อยๆ และปริมาณมากซึ่งมีน้ำดีหรืออาหารไม่ย่อยปน มักบ่งบอกถึง SBO โดยเฉพาะเมื่อ obstruction อยู่ในส่วนต้น (proximal) ของลำไส้เล็ก ขณะที่การอาเจียนที่มีลักษณะเหมือนอุจจาระอาจบ่งบอกถึง SBO ที่มีระดับการอุดตันอยู่ในส่วนปลาย (distal) | |
Bowel Habits / พฤติกรรมการขับถ่าย: - ถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการขับถ่าย (เช่น ท้องผูก, ไม่ผายลม, หรือถ่ายเหลว) | การไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระหรือผายลมได้บ่งบอกถึงการอุดตันที่สมบูรณ์ในลำไส้ การสอบถามเกี่ยวกับลักษณะอุจจาระช่วยในการประเมินระดับการอุดตันและบ่งบอกถึงโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น การมีเลือดปนในอุจจาระอาจบ่งบอกถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ | |
Abdominal Distension / ท้องอืด: - สอบถามว่า "รู้สึกว่าท้องอืดหรือไม่?" และลักษณะการขยายตัวของท้อง | การขยายตัวของท้องที่มากขึ้นสามารถบ่งบอกถึงการอุดตันในลำไส้ใหญ่ (LBO) ซึ่งมักจะมี distension มากกว่า SBO การท้องอืดที่มากขึ้นและ progressive อาจเป็นสัญญาณของการอุดตันที่รุนแรงขึ้น | |
3. Past Medical History (PMH) / ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต | - ถามเกี่ยวกับประวัติการผ่าตัดช่องท้องก่อนหน้านี้ (เช่น การผ่าตัดไส้ติ่ง, การผ่าตัดลำไส้) | ประวัติการผ่าตัดช่องท้องเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด adhesions ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของ SBO ในผู้ใหญ่ การทราบประวัติการผ่าตัดช่วยในการประเมินสาเหตุที่เป็นไปได้ของการอุดตัน |
- ถามเกี่ยวกับโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งลำไส้, Hernia, หรือโรคลำไส้อักเสบ | ประวัติของโรคเหล่านี้สามารถบ่งชี้ถึงสาเหตุของ bowel obstruction เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยของ LBO หรือ Crohn's disease ที่สามารถทำให้เกิด strictures และการอุดตันในลำไส้ | |
4. Medication History / ประวัติการใช้ยา | - สอบถามเกี่ยวกับยาที่ใช้ประจำ (เช่น ยาแก้ปวด, ยาแก้ท้องผูก) | ยาบางชนิดสามารถทำให้ลำไส้ไม่เคลื่อนไหว (ileus) หรือทำให้การอุดตันรุนแรงขึ้น เช่น opioids สามารถลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ การทราบประวัติการใช้ยาช่วยในการประเมินสาเหตุและการจัดการการอุดตัน |
5. Family History / ประวัติครอบครัว | - ถามถึงประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือโรคทางพันธุกรรมที่อาจส่งผลต่อการอุดตันของลำไส้ | ประวัติครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ เช่น familial adenomatous polyposis สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด bowel obstruction โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง |
6. Social History / ประวัติทางสังคม | - สอบถามเกี่ยวกับประวัติการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา หรือการใช้สารเสพติด | พฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลต่อสุขภาพทั่วไปและภาวะลำไส้อุดตัน เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มสุราเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง |
7. Physical Examination / การตรวจร่างกาย | Inspection / การตรวจดู: - ตรวจดูว่ามีอาการท้องอืดอย่างไร, ลักษณะการขยายตัวของท้อง และว่ามีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดเก่าหรือไม่ | การตรวจดูท้องเพื่อหาสัญญาณของการอุดตัน เช่น การขยายตัวของท้องที่ผิดปกติ (abdominal distension) ซึ่งอาจบ่งบอกถึง LBO โดยการท้องอืดที่มากกว่า 6 ซม. ใน transverse colon หรือมากกว่า 9 ซม. ใน cecum สามารถบ่งชี้ถึง bowel obstruction ได้ |
Auscultation / การตรวจฟังเสียง: - ฟังเสียงลำไส้ (bowel sounds) เพื่อประเมินการเคลื่อนไหวของลำไส้ (เช่น high-pitched sounds บ่งชี้ partial obstruction) | การฟังเสียงลำไส้ที่มีความดังสูง (high-pitched, tinkling) เป็นสัญญาณของ SBO ขณะที่เสียงลำไส้ที่ลดลงหรือไม่มี (hypoactive or absent bowel sounds) อาจบ่งบอกถึง bowel ischemia หรือ bowel fatigue จากการอุดตันที่รุนแรงขึ้น | |
Percussion / การเคาะ: - เคาะท้องเพื่อดูว่าเป็นเสียง timpani หรือ dullness | เสียง timpani ที่เกิดจากการสะสมของแก๊สในลำไส้บ่งบอกถึงการขยายตัวของลำไส้ ส่วน dullness อาจบ่งบอกถึงการสะสมของของเหลวหรือการมี mass ซึ่งเป็นสัญญาณของการอุดตันที่ต้องการการประเมินเพิ่มเติม | |
Palpation / การคลำ: - คลำท้องเพื่อหาความกดเจ็บ จุด tender และมวล | การคลำท้องช่วยในการตรวจหาสัญญาณของ peritonitis (เช่น guarding, rebound tenderness) ซึ่งอาจบ่งบอกถึง bowel ischemia หรือ perforation การตรวจพบ mass สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ | |
8. Differential Diagnosis / การวินิจฉัยแยกโรค | - Small Bowel Obstruction (SBO): เกิดจาก adhesions, hernias, หรือ tumors เป็นส่วนใหญ่ มีอาการปวดท้องแบบ colicky, คลื่นไส้, อาเจียนบ่อย, และเสียงลำไส้ที่ดังสูงและเป็นแบบ tinkling ในช่วงแรก | SBO เป็นการอุดตันที่พบได้บ่อยที่สุดในลำไส้เล็ก การวินิจฉัยโดยพิจารณาจากประวัติอาการและผลการตรวจร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ การอุดตันที่เกิดขึ้นบ่อยในลำไส้เล็กมักเกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนเช่น strangulation หากไม่ได้รับการรักษา |
- Large Bowel Obstruction (LBO): มักเกิดจาก malignancies, volvulus, หรือ diverticulitis มีอาการท้องอืดแบบ progressive, ท้องผูก, และเสียงลำไส้ที่ลดลง | LBO มักเกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด การประเมินความเสี่ยงและการตรวจร่างกายอย่างละเอียดสามารถช่วยในการวินิจฉัยและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอุดตันในลำไส้ใหญ่มักต้องการการรักษาโดยการผ่าตัด | |
- Ileus: เป็นภาวะลำไส้ไม่เคลื่อนไหวที่ไม่ได้เกิดจากการอุดตันทางกล มักเกิดหลังการผ่าตัดหรือเนื่องจากยา, การติดเชื้อ, หรือความผิดปกติของเมตาบอลิก มีอาการปวดท้องแบบ diffus และเสียงลำไส้ที่ไม่มี | Ileus แตกต่างจาก bowel obstruction เนื่องจากไม่มีการอุดตันทางกล แต่การเคลื่อนไหวของลำไส้หยุดชะงัก การวินิจฉัย ileus ต้องอาศัยประวัติที่ครอบคลุมและการตรวจร่างกายที่ละเอียด | |
- Ischemic Bowel: เกิดจาก thrombosis หรือ embolism ที่นำไปสู่การ infarction ของลำไส้ มีอาการปวดท้องแบบเฉียบพลันและรุนแรง อุจจาระเป็นเลือด และสัญญาณ peritoneal | Ischemic bowel เป็นภาวะที่มีความเสี่ยงสูงต่อชีวิตและต้องการการรักษาทันที การวินิจฉัยที่รวดเร็วและการจัดการอย่างทันท่วงทีสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ | |
9. Diagnostic Investigations / การตรวจทางห้องปฏิบัติการ | - Abdominal X-ray: แสดง dilated small bowel loops ที่มีขนาด >3 ซม. และ air-fluid levels ที่มีลักษณะ stepladder appearance ใน SBO สำหรับ LBO จะเห็นการขยายตัวของ colon (cecum >9 ซม., transverse colon >6 ซม.) และ absence of gas in the rectum | Abdominal X-ray เป็นการตรวจเริ่มต้นที่ช่วยในการประเมินระดับการอุดตันและรูปแบบการขยายตัวของลำไส้ การขยายตัวของ cecum ที่มากกว่า 9 ซม. หรือ transverse colon ที่มากกว่า 6 ซม. บ่งชี้ถึง LBO และต้องการการประเมินเพิ่มเติม |
- CT Scan with Contrast (Gold Standard): ช่วยในการระบุ transition point ของการอุดตัน ประเมินความหนาของผนังลำไส้ mesentery ที่มี edema, free fluid; และ absence of contrast enhancement ในผนังลำไส้บ่งบอกถึง strangulation | CT scan เป็นมาตรฐานทองคำในการวินิจฉัย bowel obstruction โดยเฉพาะในกรณีที่สงสัยว่าเป็น strangulation หรือ ischemia การตรวจ CT ช่วยให้เห็นรายละเอียดของการอุดตันและประเมินความรุนแรงของโรค | |
- Colonoscopy/Sigmoidoscopy: ใช้ในการวินิจฉัยและรักษา volvulus, obstructing masses, หรือ strictures และสามารถเก็บ biopsy ได้ | Colonoscopy เป็นการตรวจที่ช่วยในการประเมินการอุดตันในลำไส้ใหญ่และช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ การตรวจนี้ยังสามารถใช้ในการรักษาเช่นการลด volvulus | |
10. Management Plan / แผนการรักษา | - Initial Management / การจัดการเบื้องต้น: NPO (nil per os), IV fluid resuscitation, electrolyte correction, nasogastric tube decompression | การจัดการเบื้องต้นสำคัญในการป้องกันการเสียน้ำและเกลือแร่จากการอาเจียนและการไม่สามารถรับประทานอาหาร การวาง nasogastric tube ช่วยลดความดันในลำไส้และลดความเสี่ยงต่อการ aspiration |
- Definitive Treatment / การรักษาขั้นเด็ดขาด: Surgical intervention (e.g., adhesiolysis, resection of necrotic bowel) if there is evidence of complete obstruction, strangulation, or perforation | การผ่าตัดเป็นสิ่งจำเป็นหากมีหลักฐานของการอุดตันที่สมบูรณ์, strangulation หรือการทะลุ การผ่าตัดช่วยในการแก้ไขปัญหาการอุดตันและประเมินความมีชีวิตของลำไส้ | |
11. Patient Education and Follow-up / การให้คำแนะนำและติดตามผล | - อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงแผนการรักษาและความสำคัญของการติดตามอาการ - ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่บ้านและสัญญาณที่ต้องรีบมาพบแพทย์ | การให้คำแนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับแผนการรักษาและการติดตามผลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง การแจ้งให้ผู้ป่วยทราบถึงสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบมาพบแพทย์ เช่น การกลับมามีอาการปวดท้องรุนแรง, การอาเจียน, หรือท้องอืดมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน |
Detailed Explanation of Bowel Obstruction Assessment and Management
1. Patient Introduction & Communication:
In any clinical scenario, particularly in surgical emergencies like bowel obstruction, establishing clear communication with the patient is crucial. Begin by introducing yourself, stating your name, and role within the healthcare team. This helps to build rapport and trust, which is essential for effective patient care. Clearly explain the purpose of the examination, including why specific questions are being asked and what to expect during the physical examination. This approach not only helps in easing the patient’s anxiety but also encourages open communication, allowing for a more accurate and thorough history-taking process. Obtaining informed consent before proceeding with any examination or intervention is a fundamental step that respects patient autonomy and adheres to ethical standards of medical practice.
2. Chief Complaint & History of Present Illness (CC & HPI):
A thorough understanding of the patient’s presenting symptoms is essential for diagnosing bowel obstruction. Start by asking an open-ended question such as, “What brings you to the hospital today?” This allows the patient to describe their symptoms in their own words, providing insight into their primary concern. Typical symptoms of bowel obstruction include abdominal pain, bloating, inability to pass gas, or a lack of bowel movements.
Next, delve into the onset and duration of symptoms by asking, “When did your symptoms begin?” and “How long have you been experiencing these symptoms?” Understanding whether the symptoms began suddenly or gradually can help differentiate between acute and chronic obstructions. For instance, a sudden onset of severe abdominal pain might suggest a volvulus or an incarcerated hernia, whereas a gradual onset could indicate a growing malignancy or stricture.
Assess the characteristics of the pain by asking the patient to describe it. Questions like “Is the pain sharp, cramping, or constant?” and “Where exactly is the pain located?” are vital. Colicky, cramping pain that comes and goes is often associated with small bowel obstruction (SBO), while a constant, progressively worsening pain might indicate large bowel obstruction (LBO) with a risk of strangulation or ischemia.
Inquire about vomiting, a common symptom in bowel obstruction. Ask, “Have you been vomiting? If so, how often, and what does it look like?” Frequent, copious vomiting that may include bile or, in severe cases, fecal material suggests a proximal small bowel obstruction. Vomiting that occurs less frequently and contains feculent material often indicates a distal obstruction or LBO.
Changes in bowel habits are also significant. Ask, “Have you noticed any changes in your bowel movements or ability to pass gas?” The inability to pass stool or gas is a hallmark of complete bowel obstruction. This, coupled with the presence or absence of abdominal distension, can help differentiate between partial and complete obstructions and their locations. Progressive abdominal distension is more commonly seen in LBO and suggests a more distal obstruction.
3. Past Medical History (PMH):
Understanding the patient’s past medical history is crucial for identifying potential risk factors for bowel obstruction. Specifically, inquire about any history of abdominal surgeries, such as appendectomies, bowel resections, or hernia repairs, which are commonly associated with the formation of adhesions—a leading cause of SBO. Additionally, ask about any history of hernias, as these can become incarcerated and lead to obstruction.
Other significant past medical history includes chronic illnesses such as inflammatory bowel disease (IBD), which can predispose to strictures and obstruction, and a history of cancer, particularly colorectal cancer, which is a common cause of LBO. Understanding these risk factors helps narrow the differential diagnosis and guides appropriate diagnostic and therapeutic interventions.
4. Medication History:
Medication history can provide important clues in diagnosing bowel obstruction. Certain medications, particularly opioids, can decrease bowel motility, leading to ileus or exacerbating existing obstructions. It’s important to ask, “Are you currently taking any medications, especially pain medications or drugs for constipation?” Understanding the patient's medication regimen, including over-the-counter drugs and herbal supplements, is critical for identifying potential contributors to bowel dysfunction and guiding appropriate management.
5. Family History:
Family history can also play a significant role in assessing the risk of bowel obstruction, particularly in cases related to malignancy or hereditary conditions. Inquire about any family history of colorectal cancer or genetic conditions like familial adenomatous polyposis, which increase the risk of bowel obstruction. A detailed family history helps identify patients who may be at higher risk and guides the need for further genetic counseling or surveillance.
6. Social History:
A thorough social history can reveal lifestyle factors that may contribute to bowel obstruction. For example, smoking and alcohol use are risk factors for colorectal cancer and other gastrointestinal diseases. Asking about these habits, as well as the patient’s occupation and physical activity levels, can provide a more comprehensive understanding of their overall health and potential risk factors for bowel obstruction.
7. Physical Examination:
The physical examination is a critical component in assessing bowel obstruction. Start with an inspection of the abdomen for distension, surgical scars, or visible peristalsis. Significant abdominal distension often indicates a distal obstruction, such as in LBO, where the cecum can be dilated to greater than 9 cm and the transverse colon to more than 6 cm on imaging.
Auscultation of bowel sounds is equally important. In early bowel obstruction, you may hear high-pitched, tinkling sounds due to increased peristalsis. However, in later stages or in severe cases such as strangulation or ischemia, bowel sounds may become hypoactive or absent, reflecting bowel fatigue or necrosis.
Percussion of the abdomen can reveal tympany due to gas-filled dilated bowel loops, while dullness might suggest fluid accumulation, as seen in ascites or with bowel perforation.
Palpation is performed to assess for tenderness, guarding, or the presence of masses. Tenderness, particularly with rebound or involuntary guarding, suggests peritonitis, which could indicate bowel perforation or strangulation—a surgical emergency.
8. Differential Diagnosis:
Differentiating between small bowel obstruction (SBO) and large bowel obstruction (LBO) is critical, as they have different etiologies, presentations, and management strategies. SBO is commonly caused by adhesions, hernias, or tumors, presenting with colicky pain, vomiting, and high-pitched bowel sounds. In contrast, LBO is often due to colorectal cancer, volvulus, or diverticulitis, presenting with progressive distension, constipation, and decreased bowel sounds.
Ileus, which is the cessation of bowel motility without a mechanical obstruction, must also be considered, particularly in postoperative patients or those with metabolic disturbances. Ischemic bowel, resulting from compromised blood flow, is another critical differential, characterized by severe abdominal pain out of proportion to physical findings, bloody stools, and signs of sepsis.
9. Diagnostic Investigations:
Diagnostic imaging is essential for confirming bowel obstruction and guiding management. The initial imaging modality of choice is an abdominal X-ray, which can reveal dilated bowel loops and air-fluid levels indicative of obstruction. In SBO, a diameter greater than 3 cm in the small bowel suggests obstruction, while in LBO, a cecal diameter greater than 9 cm or transverse colon greater than 6 cm is abnormal.
A CT scan with contrast is the gold standard for diagnosing bowel obstruction, providing detailed information about the location and cause of the obstruction, as well as identifying complications such as strangulation or perforation. The CT scan can pinpoint the transition point between dilated and collapsed bowel, evaluate bowel wall thickness, assess the mesentery for signs of edema or ischemia, and detect free fluid or gas indicating perforation.
In cases of suspected large bowel obstruction, a colonoscopy or sigmoidoscopy may be both diagnostic and therapeutic, particularly in cases of volvulus or obstructing tumors. This procedure allows direct visualization of the obstruction and enables biopsy or therapeutic decompression.
10. Management Plan:
The management of bowel obstruction depends on the severity and underlying cause. Initial management typically involves bowel rest (NPO status), IV fluid resuscitation to correct dehydration and electrolyte imbalances, and nasogastric tube decompression to relieve nausea, vomiting, and abdominal distension.
For partial obstructions or cases without signs of strangulation, conservative management with close monitoring is often appropriate. However, complete obstructions, particularly those with signs of strangulation or perforation, require urgent surgical intervention. Surgical options may include adhesiolysis, hernia repair, bowel resection, or stoma formation, depending on the findings during exploration.
11. Patient Education and Follow-up:
Patient education is crucial in the management of bowel obstruction. Educate the patient on the importance of adhering to the management plan, recognizing signs of recurrence or complications, and understanding when to seek immediate medical attention. Discuss the need for follow-up appointments to monitor for recurrence, particularly in patients with risk factors such as previous surgeries, cancer, or chronic conditions like IBD. Emphasize dietary modifications and lifestyle changes that may help prevent future episodes, such as adequate fiber and fluid intake and avoiding foods that may exacerbate symptoms.
Conclusion:
Effective management of bowel obstruction requires a comprehensive understanding of its etiology, clinical presentation, and appropriate diagnostic and therapeutic interventions. Surgical residents must be adept at performing thorough assessments, recognizing the signs and symptoms that indicate the need for urgent intervention, and managing patients both pre- and post-operatively. By applying a structured, evidence-based approach to the evaluation and treatment of bowel obstruction, residents can significantly impact patient outcomes, reducing morbidity and mortality associated with this common surgical emergency.
Comments